เรื่อง ชีวิตของเด็กชายวัย9ปี
ประสบการณ์ชีวิต สวัสดีครับผมมีชื่อว่าไผ่ตอนนี้อายุได้ 18 ปีแล้ววันนี้จะมาเล่าเรื่องอดีตของผมให้เพื่อนๆทุกคนฟังนะมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะน่าเศร้าสำหรับเด็กวัย 9 ปีอยู่เหมือนกันครับคืออยากจะมาแชร์ประสบการณ์ชีวิตเผื่อจะเป็นประโยชน์กับน้องๆหนูๆทุกคนที่เจอเหตุการณ์แบบเดียวกับผมอย่างน้อยบทความนี้มีคนอ่านสัก 20 คนมีคนเจอแบบผมสัก 1คนและได้นำวิธีของผมไปใช้แค่นี้ก็ดีใจแล้วครับ
เรามาเริ่มเล่ากันเลย ผมเชื่อว่าทุกๆคนก็คงจะมีอดีตที่ไม่ค่อยจะน่าจดจำกันหมดใช่ไหมครับผมก็ไม่รู้หรอกว่าคุณจะมีอดีตที่น่าเศร้าขนาดไหนแต่วันนี้ จะมาเล่าประสบการณ์ทีได้เจอมากับตัวเองในตอนที่ยังเรียนประถมอยู่นะครับคือต้องเท้าความไปก่อนว่า ผมเป็นเด็กนักเรียนที่ตอนแรกก็ไม่ค่อยได้
ประสบการณ์ชีวิต เรียนเก่งหรอก ครับในช่วงปอ 1 ถึงปอ 2 แต่ด้วยความที่ว่าไม่ได้อวยตัวเองนะครับแต่เป็นคนที่ลายมือค่อนข้างสวยเหมือนกันครูที่ปรึกษาเขาก็สังเกตลายมือผมมาสัก 2 ปีแล้ว พอจะขึ้นป 3 ครับก็ได้ถูกย้ายไปห้องสำหรับเด็กคัดลายมือครับจะเรียกว่าเป็นห้องสำหรับเด็กลายมือสวยๆดีกว่าคือในห้องนั้นไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงผู้ชายทุกคนจะลายมือสวยหมดครับอาจารย์จะชอบมาตรวจงานของเด็กห้องนี้เพราะว่าก็อย่างที่รู้กันนะครับว่าเด็กช่วงวัยนี้มันจะเขียนแบบลายมือ แบบพ่อขุนรามคำแหงหน่อยแต่ว่าห้องของผมมันจะแบบสวยนิดนึงอาจารย์อ่านแล้วสบายตา
และห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องคัดลายมือเขาก็จะเรียนกันตามปกติครับก็วิทย์คณิตอังกฤษไทยสังคมแต่ห้องผมมันจะมีวิชาเพิ่มอีก 1 วิชาก็คือวิชา คัดลายมือ ตัวเองครับ คือวิชานี้นะฮะเขาจะให้หนังสือสำหรับเขียนตัวอาลักษณ์มาคนละ 1 เล่มละก็เขียนไปทั้งชั่วโมงก็เขียนตัวอาลักษณ์ไปเรื่อยๆ พอหมดคาบแล้วอาจารย์เขาก็จะมาดูครับว่าอะไรมือของเด็กคนนี้พัฒนาไหมลายมือของเด็กคนนี้มันยังต้องปรับปรุงตรงไหนหรือเปล่า แต่ผมก็ปกติครับก็ไม่ได้โดนชมหรือว่าโดนติอะไรลายมือผมค่อนข้างจะคงเส้นคงวาไม่ได้สวยเกินไปแล้วก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป
ต้องขอบอกเลยนะครับว่าช่วงป 3เนี่ยผมมีความรู้สึกอยากไปโรงเรียนเป็นพิเศษเนื่องจากว่าค่อนข้างจะสนิทกับเพื่อนๆทุกคนในห้องและเพื่อนๆทุกคนก็ค่อนข้างจะเป็นคนที่นิสัยดีนะมันจะต่างจากห้องอื่นเพราะว่าห้องเราอาจารย์ที่ปรึกษาจะเป็นคนที่มีระเบียบแล้วท่านก็จะสั่งสอนพวกเราให้เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะมีระเบียบถ้าเทียบกับเด็กห้องอื่นถ้าจำไม่ผิดอาจารย์คนนี้มีชื่อว่าตุ๊กครับ ท่านเป็นครูที่ใจดีและก็เข้าใจในตัวตนของนักเรียนที่ท่านดูแลอยู่ Happy มากช่วงนั้นแบบเรามีความสุขที่อยากจะตื่นเช้ามาไปเข้าแถวไปเจอเพื่อนๆไปกินข้าวเข้ามานั่งในห้องเรียน คัดลายมือ
หลังจากที่เลิกเรียนเราก็จะไปเล่นการ์ดยูกิด้วยกันและผมก็มีเพื่อนสนิทอยู่คนนึงชื่อว่าบูมครับบูมเป็นเด็กที่เรียนเก่งมากคือไม่ว่าจะวิชาไหนอ่ะมันไม่เคยได้คะแนนต่ำกว่าที่ 2 มันได้ที่ 1กลับที่ 2 อย่างเดียวเลยมันไม่เคยลงไปมากกว่านี้และผมก็สนิทกับมันครับและแม่มันก็ค่อนข้างจะเป็นทรงซ้อหรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆก็ขาใหญ่ละครับ เพราะแกเป็นคนใจถึงเวลามาที่ห้องเรียนหรือมาเยี่ยมลูกแกตอนเย็นๆแกก็จะซื้อขนมมาแจกเด็กทุกคนในห้องห้องเรียนร้อนแกก็บริจาคติดพัดลมทำให้แต่ค่อนข้างจะเป็นที่น่าเคารพของเด็กๆภายในห้องเกือบทุกคนและผมก็ข้างจะสนิทกับ
แม่ของบูม อยู่พอตัว แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตผมมันเริ่มจากตรงนี้เลยครับ ช่วงหนึ่งเขาจัดกลุ่มเพื่อทำงานอะไรสักอย่างอ่ะครับและตอนนี้อาจารย์เขาพูดว่าถ้าให้จับกลุ่มกันเองคนเก่งมันก็จะอยู่กับคนที่เก่งเพราะฉะนั้นอาจารย์จะจับให้ผมก็ภาวนาว่าให้อยู่กลุ่มเดียวกับไอ้บูมเพื่อนสนิทของผมแต่ เหมือนกับพระเจ้าจะไม่เข้าข้างนะครับผมได้ไปอยู่กับกลุ่มที่บ๊วยเรียกว่าบ๊วยเลยของห้องไปคนเดียวนะไม่ได้ป่วยแต่จะพูดพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเป็นเด็กเก่งที่ถูกโยนไปอยู่กันเด็กไม่เก่งเพียงคนเดียวซึ่งคนอื่นเขาแยกเขาแบบแบ่งกันสมดุลก็คือมีเด็กเก่ง 4 คนเด็กไม่เก่ง 4 คน
รวมกันแล้วเป็น 8 คนแต่สิ่งที่ผมเจอคือผมอยู่กับเด็กไม่เก่ง 7 คนซึ่งมีกูเก่งก็เก่งที่สุดในนั้นแล้วอ่ะคนเดียว แล้วแบบเรื่องความที่ว่ามันเป็นเด็กเกเรแต่มัน ลายมือสวยไงมันเลยได้อยู่ห้องนี้แต่จริงๆแล้วนิสัยมันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอกครับแต่ผมไม่ค่อยชอบมันไงเรียกว่าไม่ถูกชะตาดีกว่าแต่ทำไงได้ในเมื่ออาจารย์เขาจับกลุ่มให้แล้วเราก็ต้องรับผิดชอบ ผมก็กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มครับจริงๆแล้วตัวเราไม่เคยอยากจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเลย เพราะงานมันเยอะมันต้องรับผิดชอบอะไร หลายๆอย่างแต่ถ้าเป็นกลุ่มเนี้ยคือกูต้องเป็นไงถ้าผมไม่เป็นมันก็ไปไม่รอดมันก็ต้องจบอยู่ตรงนี้
เรียกว่ากัดฟันเป็นเลยดีกว่าและหลังจากที่ผ่านงานกลุ่มนี้ไปเรียกว่าก็ได้รู้จักกับพวกมันมากขึ้นกับแก๊งนี้ จะได้รู้ว่ามันก็ไม่ได้มีนิสัยที่เลวร้ายมันแค่ไม่ชอบในการนั่งเรียนในห้องมันชอบแบบบอลออกกำลังกายและข้อดีคือเวลามีเรื่องทะเลาะวิวาทหรือจะมีคนมาชกผมอ่ะมันก็จะมาช่วยนะแบบมันจะพูดว่าพวกมึงอย่าทำเลยเพื่อนกูขอ อะไรประมาณนี้เป็นก็เรื่องดีๆแต่เรื่องที่แย่ก็มีเหมือนกันอย่างที่เกริ่นไปข้างต้นมันเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะเกเรคือมันน่ะด่าเพื่อนผมชื่อไอ้บูมที่แม่มันเป็นขาใหญ่เนี่ย คือแบบไอ้บูมมันไม่เห็นไงว่าคนที่ด่าคือพวกนั้นไม่ใช่ตัวผมแต่มันไม่ทันแล้วไงมันหันหน้ามาปุ๊บ
มันเจอผมเลย และจังหวะมันเหมาะมากครับคือพอมันหันมาเจอแม่มันก็เดินมาพอดี กลายเป็นว่าผมกลายเป็นคนด่าไอ้บูมซะงั้นและแม่มันก็ไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษา ผมก็เลยโดนสั่งคัดคำที่ด่าไอ้บูม 100 จบแต่ก็ยังดีครับไอ้พวกนั้นมันก็มาช่วยเขียนแต่สิ่งที่มัน น่าเจ็บใจไปมากกว่านั้นก็คือแม่มันสั่งให้บูม ไม่คุยกับผมคุณคิดดูนะเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่ด้วยกันมา 1 ปีแต่อยู่มาวันหนึ่งเราจะไม่ได้คุยกันแล้วไม่ได้งอนกันนะแต่เป็นคำสั่งของคุณแม่บอกว่าอย่ามายุ่งกับไอ้ไผ่ และที่มันหนักกว่านั้นก็คือพอเพื่อนในห้องรู้ว่าผมไปด่าไอ้บูมและแม่มันสั่งให้ไม่คุยกับผมเพื่อนในห้องพากันไม่คุยไปด้วย
ก็มีแต่แก๊งที่ด่านั่นแหละที่ยังคุยกับผมอยู่หลังจากนั้นผมก็โดนย้ายโต๊ะครับ ปกติจะนั่งโต๊ะเป็นคู่ 2 2 เขาก็จับไอ้บูมที่นั่งข้างๆผมไปนั่งต่อ 3 คนและให้เหลือผมอยู่คนเดียวแล้วก็จับไปนั่งตรงข้างๆถังขยะผมต้องอยู่อย่างนั้นยันจบป.4ครับ ถามว่าช่วงนั้นเราทำยังไง ความรู้สึกตอนนั้น ครอบครัวครับคือที่ปรึกษาที่ดีที่สุดผมปรึกษากับแม่กับยายกับทุกคนครับและผมก็ได้วิธีแก้มาครับถ้าในเมื่อห้องของเรามันไม่มีใครคุยกับเรา “เราก็ออกไปหาเพื่อนนอกห้อง” ผมได้ใช้วิธีนี้ด้วยความที่ว่าไอ้แก๊งที่มันเกเรมันยังคุยกับผมอยู่ไง ก็เลยบอกกับพวกมันว่าเดี๋ยวกูทำงานให้มึงแต่มึงต้องพากูไปเจอเพื่อนมึงกูอยากรู้จัก
พวกมันก็บอกโอเคได้ และผมก็ใช้ชีวิตอยู่ แบบนี้ในการเล่นกับเพื่อนนอกห้อง ถึงเวลาก็กลับมาเรียนในห้อง เราก็เรียนไปอย่างเดียวไม่ต้องไปสนใจอะไรกลางวันออกไปเล่นกับเพื่อนห้องอื่นวิธีนี้ทำให้ผมรู้จักคนมากขึ้นและเมื่อผม ขึ้นป 6 ก็รู้จักคนเกือบทั้งสายชั้น เป็นอย่างไรบ้างครับจากเด็กที่ไม่มีเพื่อนคุยในห้องขึ้นมาได้ย้ายห้องไปเจอเพื่อนใหม่และก็ได้รู้จักกับเพื่อนเกือบทั้งสายชั้นป 6 วังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนิดนึงนะไม่มากก็น้อยครับ