What if ถ้าโลกนี้ไม่มีการเกิด
What if ถ้าโลกนี้ไม่มีการเกิด เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัฏจักรที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกไม่อาจหลีกหนี นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดความสมดุลทำให้โลกสามารถเราดำรงอยู่ต่อไปได้ ลองคิดดูว่าหากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปโลกของเราจะปั่นป่วนแค่ไหน บทความนี้ผู้เขียนจะมาตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีการเกิดจะเป็นอย่างไร
1.คิดค้นยาไม่ให้ตาย
เมื่อการเกิดหายไปแต่ยังคงมีการตายอยู่ แน่นอนว่าต้องส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ดังนั้นทางที่จะยับยั้งการลดลงของจำนวนประชากรได้คือการทำให้มนุษย์ไม่ตาย อาจมีการคิดค้นยาอายุวัฒนะ ยาย้อนวัย ยาอัมตะ หรืออาจคิดค้นเทคโนโลยีมากมายที่ทำให้การตายของมนุษย์หยุดลง หากไม่มีเทคโนโลยีหรือวิธีไหนหยุดการตายของมนุษย์ได้ ลำดับต่อไปคงเป็นการกลับไปคิดหาวิธีทำให้การเกิดกลับมาอีกครั้ง
2.ทำมนุษย์โคลน
อย่างที่กล่าวไปว่าปัญหาหลักๆของการไม่มีการเกิด คือ จำนวนประชากรที่ลดลง ในจุดนี้หากแก้ที่การลดจำนวนลงของประชากรไม่ได้ ก็ต้องมาเร่งอัตราการเพิ่มของประชากร แน่นอนว่าอาจมีเรื่องของการทำการทดลองกับมนุษย์กลับมาอีกครั้ง จากเดิมที่ชาวโลกพยายามต่อต้านและไม่ยอมรับเรื่องนี้จนการใช้มนุษย์ทดลองหายไปหมดสิ้นแล้ว
การโคลนนิ่งมนุษย์ทั้งร่างกาย ความทรงจำ และจิตใจอาจเป็นหนทางเดียวให้เผ่าพันธุ์ของเราสามารดำรงอยู่ต่อไปได้ในโลกที่ไร้การเกิด ไม่แน่ว่าวันนั้นการที่เราได้เจอตัวเองมากว่า 1 คนเดินสวนไปมาตามทางเท้า กล่าวทักทายกันและพูดคุยกับคนที่เหมือนเราทุกอย่าง อาจกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วก็ได้ น่าคิดต่อว่า แล้วความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้างจะเป็นยังไงต่อไป จากปกติเรามีพ่อแม่อย่างละ 1 คน
อาจมีพ่อแม่เพิ่มขึ้นมาเป็น 10 มีภรรยาและสามีอีก 20 คิดแล้วคงเป็นความสัมพันธ์ที่อลเวงน่าดู ไม่แน่ว่าอาจมีการทำศัลยกรรมกันมากขึ้นเพื่อไม่ต้องการให้เกิดความสับสน แม้หน้าตาและนิสัยอาจเปลี่ยนได้ แต่ดีเอ็นเอของเราจะขาดความหลากหลาย ผู้เขียนคิดว่าเรื่องพันธุกรรมไม่หลากหลายเองก็อาจทำให้มนุษย์เราเข้าใกล้การสูญพันธุ์ได้เช่นกัน
3.ผสมเทียม
เมื่อไม่มนุษย์ไม่สามารถเกิดขึ้นมาบนโลกได้อีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เหล่านักวิทยาศาสตร์และวงการแพทย์อาจมีการทดลองเพื่อผสมเทียมให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น ทำเด็กหลอดแก้ว หรืออาจทำรังไข่และอสุจิเทียมเพื่อสร้างมนุษย์ขึ้นมา น่าสนใจเหมือนกันว่าเทคโนโลยีในตอนนั้นก้าวหน้าไปได้ไกลเพียงใด
4.ไม่มีเด็ก
ไม่มีการเกิดก็ไม่มีเด็ก คุณอาจมองว่าเด็กไม่มีความสำคัญกับโลกมากนัก แต่แท้จริงแล้วหากไม่มีเด็กเกิดขึ้นมาเลย จะส่งผลต่อสมดุลของโลกแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของธุรกิจ กิจการต่างๆที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็ก อย่างของเล่น ขนม การ์ตูน ขวดนม เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้เกี่ยวกับเด็ก ต้องพลิกโฉมใหม่เพื่อให้เหมาะกับโลกที่มีแต่ผู้ใหญ่ หรืออาจล้มละลาย ปิดกิจการลงเพราะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน แน่นอนว่าต้องมีคนตกงานจากเหตุการณ์นี้ซึ่งเป็นที่น่าขบคิดว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและเยียวยาคนส่วนนี้อย่างไรบ้าง
โลกที่ไม่มีเด็กคงห่อเหี่ยวและส่งผลต่อวัฒนธรรมและสภาพจิตใจของคนในสังคมไม่น้อย เมื่อมนุษย์เติบโตขึ้นในทุกๆวัน แต่ไม่มีเด็กๆคอยเยียวยาจิตใจหรือให้สืบทอดอารยะธรรมต่อไป สภาพจิตใจของคนในสังคมที่ไม่มีเด็กเลยก็คาดเดาได้ยากว่าจะเป็นอย่างไรและส่งผลดีหรือผลร้ายต่อส่วนรวมกันแน่ มนุษย์อาจเปลี่ยนไปในทิศทางที่เลวร้าย อย่างมีความก้าวร้าว รุนแรงมากขึ้นหรืออาจเปลี่ยนไปในทางที่ดี มีความสุขุมรอบคอบและเด็ดขาด แต่อย่างไรผู้เขียนก็คิดว่าความเป็นเด็กเป็นสิ่งสำคัญ ณ ตอนที่ไม่มีเด็กช่วงแรกๆเราอาจไม่รู้สึกอะไรหรือไม่ได้รับผลกระทบใดๆมากนัก
แต่หากเวลาผ่านไปเป็น สิบปี ร้อยปี พันปี ผู้เขียนเชื่อว่าย่อมมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน เด็กๆเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความหวัง ความฝัน ความบริสุทธิ์และความไร้เดียงสา ซึ่งสิ่งเหล่านั้นอาจหายไปจากจิตใจเราในซักวันเมื่อเราไม่มีเด็กๆคอยย้ำเตือนอีกแล้ว
อาจมีพวกบ้าถึงขนาดที่ไม่ยอมให้เด็กๆที่เหลืออยู่ได้เติบโตหรือสตาฟเด็กไว้ ให้อยู่ในสภาพวัยเด็กตลอดกาล กลายเป็นพล็อตนิยายสยองขวัญไป แต่อย่างไรผู้เขียนก็ยังเชื่อในความมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อยู่ว่าคงไม่มีใครยอมให้เรื่องโหดร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้ง่ายๆเป็นแน่
5.ย้ายดาวเพราะสัตว์อื่นไม่มีการเกิดเช่นกัน
ลำพังแค่มนุษยชาติเผ่าพันธุ์เดียวไม่มีการเกิดก็เป็นปัญหามากพออยู่แล้ว หากสัตว์ต่างๆไม่เกิดอีก เราคงมีทางเลือกเดียวคือย้ายดาวหนี เผื่อว่าสภาพแวดล้อมใหม่ๆจะช่วยเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้บ้าง บางทีมนุษย์อาจค้นพบทางแก้ไขปัญหาจากนอกโลกก็เป็นได้ ในระหว่างรอการย้ายดวงซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทรัพยากรและเวลาอย่างมาก เราอาจคิดค้นอาหารสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อใช้ทดแทนเนื้อสัตว์หรืออาจทำการโคลนนิ่งสัตว์ไว้กิน หากแมลงหยุดเกิดด้วยเราอาจต้องทำแมลงจำลองขึ้นมาเพื่อรักษาสมดุลธรรมชาติ อย่างเรื่องของห่วงโซ่อาหาร ความเป็นอยู่ของพืช
หากว่าแม้แต่พืชเองก็หยุดการเกิดเช่นกันเราคงได้แค่ภาวนาและนับถอยหลังรอวันตายเท่านั้น เพราะพืชเป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาสมดุลและคงไว้ซึ่งความเป็นอยู่ของโลก หากโลกนี้ไม่มีการเกิดของพืชย่อมส่งผลกระทบมหาศาลจนถึงขั้นล่มสลายได้ด้วยการเกิดภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม
แม้มนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญา แต่ไม่ควรละเลยที่จะเรียนรู้และใฝ่หาความรู้ใหม่ๆใส่ตัวอยู่เสมอ เพราะไม่แน่ว่าซักวันเรื่องเช่นนี้อาจเกิดขึ้นจริงก็ได้ เมื่อเห็นแล้วว่าการเกิดสำคัญเพียงไรและหากไม่มีการเกิดจะมีผลตามมาอย่างไรบ้าง ผู้เขียนเชื่อว่าจะทำให้ผู้อ่านเล็งเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆในชีวิตมากขึ้น อาทิเช่น ประโยชน์ของแมลงต่อพืช ความสำคัญของปศุสัตว์ สิ่งที่เด็กๆให้แก่โลก ผลกระทบต่างๆททางด้านเศรษฐกิจที่พร้อมจะผันผวนได้เสมอเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นเพียงเรื่องสมมุติแต่ก็ช่วยให้เราได้เห็นแง่มุมของความสัมพันธ์ในด้านต่างๆมากขึ้นเมื่อนำมาคิดวิเคราะห์และต่อยอดทางความคิด ผู้เขียนจึงหวังว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย